“ต้วนซิ่ว” แปลว่าอะไร? ชื่อเรียกนั้นสำคัญไฉน ไยความรักจึงควรมีเพศ


เมื่อกล่าวถึงคำว่า ‘คุณชาย’ คุณจะนึกถึงอะไร? สุภาพบุรุษ บุคคลผู้มีสกุลสูง หรือละครเรื่องหนึ่งที่กำลังออกอากาศอยู่ตอนนี้ เราเชื่อว่าหลายท่านคงจะเคยได้ยินและได้ชมละครเรื่องนี้อย่างผ่านหูผ่านตากันมาบ้างไม่มากก็น้อย หากมองเพียงผิวเผิน ละครเรื่องนี้อาจเป็นเพียง ‘ซีรีส์วายย้อนยุค’ สำหรับใครบางคน ทว่าหากพินิจดูให้ดี ละครเรื่องนี้อาจกำลังจุดประเด็นอะไรบางอย่างให้เราฉุกคิดอยู่ก็เป็นได้


ละครเรื่อง ‘คุณชาย’ บอกเล่าเรื่องราวของ ‘เทียน’ ลูกชายคนโตของตระกูลซ่ง ที่จะต้องรับหน้าที่เป็นผู้สืบทอดตระกูลคนต่อไปในฐานะคุณชายใหญ่ แต่เรื่องกลับไม่ง่ายเช่นนั้น เพราะเทียนเป็น ‘ต้วนซิ่ว’ หรือชายที่รักชายด้วยกัน เขาหลงรัก ‘จิว’ ชายหนุ่มเชื้อสายจีนอีกคนหนึ่ง แต่เพราะเกิดมาพร้อมสายเลือดจีนที่ความเป็นชายมีค่าเท่ากับความเป็นใหญ่ การเป็นต้วนซิ่วจึงถือเป็นเรื่องต้องห้ามและไม่เป็นที่ยอมรับ ทำให้เทียนต้องปิดบังตัวตนและปิดซ่อนความลับของตัวเองไว้ให้ลึกที่สุด


บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกไปถึงที่มาของคำว่า ‘ต้วนซิ่ว’ และร่วมถกประเด็นเรื่องอัตลักษณ์ทางเพศในแง่ของบริบททางสังคม วัฒนธรรมของชนชาติ และมิติของยุคสมัยที่ปรากฏอยู่ในละครเรื่องนี้ไปพร้อมกัน


‘ต้วนซิ่ว’ แปลว่าอะไร?


‘ต้วนซิ่ว (断袖)’ เป็นภาษาจีนกลาง มีที่มาจากวัฒนธรรมจีนหลวง มีความหมายว่า ‘ตัดแขนเสื้อ’ มาจากตำนานรักของจีนในสมัยปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันตก (202 ปีก่อนคริสต์ศักราช ถึง ค.ศ. 8) ซึ่งเป็นเรื่องราวความรักของฮ่องเต้ ‘ฮั่นอายตี้’ ผู้มีฮองเฮาและพระสนมมากมาย แต่หาได้ลุ่มหลงในสตรีเพศไม่ เพราะภายในหัวใจของพระองค์มีไว้ให้บุรุษเพียงคนเดียว นั่นคือ ‘ต่งเสียน’ ทั้งสองตกหลุมรักกันจนเป็นที่มาของตำนานรักที่มีสำนวนจีนว่า ‘ต้วนซิ่วจือผี่ (斷袖之癖)’ หรือ ‘พิศวาสจนตัดแขนเสื้อ’


สืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ในบ่ายวันหนึ่งที่ฮ่องเต้ฮั่นอายตี้และต่งเสียนได้ร่วมรักกัน เมื่อพระองค์ตื่นขึ้นมาก็เห็นต่งเสียนนอนหลับทับแขนเสื้อของพระองค์อยู่ จึงไม่อยากปลุกเขาให้ตื่นไปด้วย พระองค์จึงตัดแขนเสื้อของตนเองออกแล้วค่อย ๆ ลุกจากเตียง จึงเป็นที่มาของคำว่าต้วนซิ่วที่เป็นคำที่ใช้เรียก ‘ชายรักชาย’


​อย่างไรก็ตาม หากมองให้ลึกไปถึงบริบททางประวัติศาสตร์ จะพบว่าชาวจีนส่วนมากที่เข้ามาอาศัยอยู่ในแผ่นดินไทย ณ ขณะนั้นเป็นชาวจีนแต้จิ๋ว ซึ่งในภาษาแต้จิ๋วเองก็มีคำศัพท์ที่ใช้เรียกชายรักชายอยู่แล้วว่า ‘ปั๊วหน่ำนึ่ง (半男女)’ มีความหมายว่า ‘ครึ่งชายครึ่งหญิง’ และในปัจจุบัน วัฒนธรรมจีนแผ่นดินใหญ่ก็มีคำว่า ‘ถงจื้อ (同志)’ เพื่อใช้เรียกในเชิงสุภาพ แต่ก็มีคำว่า ‘เหยินเยา (人妖)’ ที่มีความหมายตรงตัวว่า ‘คนปีศาจ’ มาใช้เรียกในเชิงเหยียดหยามเช่นกัน รวมไปถึงคำว่าต้วนซิ่วด้วย

 

‘ชื่อเรียกนั้นสำคัญไฉน ไยความรักจึงควรมีเพศ’


“ผมฝันว่าสักวันหนึ่ง

เราทุกคนจะได้มีความรักแบบไม่แบ่งแยกว่าเป็นเพศไหน…

ไม่โดนรังเกียจ ไม่โดนดูถูกว่าผิดปกติ

ไม่มีคำว่าต้วนซิ่ว มีแต่คำว่าความรัก

และเมื่อถึงวันนั้น เราทุกคนก็จะเท่าเทียมกัน”


บทพูดข้างต้นเป็นคำพูดของตัวละครเอกอย่าง ‘เทียน’ ที่พูดกับ ‘จิว’ คนรักของเขา เมื่อผู้ชมอย่างเรา ๆ ได้ฟังพอผ่านหูแล้ว ก็เหมือนจะเป็นคำพูดที่ซาบซึ้งตรึงใจและช่วยปลอบประโลมจิตใจได้ดีเลยทีเดียว แต่หากวิเคราะห์ในแง่ของอัตลักษณ์ทางเพศ การที่เราไม่เอ่ยถึงชื่อเพศอย่างตรงไปตรงมาเมื่อพูดถึงความรักจะเป็นการลบเลือนอัตลักษณ์ของเพศใดเพศหนึ่งอยู่หรือไม่


เพราะเมื่อเราไม่ยืนยันถึงการมีอยู่ สังคมก็จะยิ่งผลักดันกลุ่มคนที่รักเพศเดียวกันให้กลายเป็นชนชายขอบและนำมาซึ่งการถูกเลือกปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นยุคใดสมัยใดก็มิอาจปฏิเสธได้เลยว่า การถูกเลือกปฏิบัติยังคงเกิดขึ้นกับกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQIA+) อยู่เสมอ ตัวตนของพวกเขายังคงถูกกดทับไว้ใต้บรรทัดฐานของสังคม อย่างที่เทียนและจิวเองก็ได้ประสบพบเจอมา ทั้งการถูกมองว่าแปลกเมื่อเขาทั้งสองเดินจับมือกัน หรือการโดนรังเกียจและโดนดูถูกว่าผิดปกติจากคนในครอบครัว คำว่าเท่าเทียมกันของเทียนจึงเป็นไปได้ยากนัก หากยังมีการแบ่งแยกอยู่เช่นนี้


การแบ่งแยกนี้จึงทำให้เกิดอคติทางเพศ ซึ่งก็เป็นผลที่สะท้อนมาจากโครงสร้างของสังคมอีกทอดหนึ่งคือ โครงสร้างของสังคมที่หล่อหลอมและหลอกลวงให้ใครต่อใครเชื่อว่าเพศนี้ปกติ เพศนั้นไม่ปกติ ทั้งที่แท้จริงแล้วเรื่องเพศนั้นมีมิติและสเปกตรัมที่หลากหลายกว่านั้นมาก จากปัญหาสังคมจึงลุกลามกระทบไปถึงปัจเจกบุคคล กลายเป็นว่ากลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศหลายคนถูกกดดันไม่ให้เปิดเผยตัวตน (come out) เพราะถ้าหากแสดงออกอย่างชัดเจน สังคมจะไม่ยอมรับ ซึ่งความจริงแล้วเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสังคมนั้นคือใครกันแน่ ดังเช่นที่เทียนถูกผู้เป็นแม่คอยย้ำเตือนเขาอยู่เสมอว่า “จำไว้นะเทียน จะให้ใครรู้เรื่องนี้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นชีวิตลูกลำบากแน่”


ปัญหาหนึ่งที่พบได้ในสังคมและปรากฏอยู่ในละครเรื่องนี้ด้วยก็คือ การที่สังคมของเรายังติดอยู่ในกรอบของ heteronormativity หรือบรรทัดฐานรักต่างเพศ ซึ่งเป็นกรอบปฏิบัติที่มองว่าการมีความรักกับเพศตรงข้ามนั้นเป็นเรื่องปกติ แต่หากมีนอกเหนือไปจากนี้จะถือว่าแปลกแยก ถึงแม้ว่าตัวละครเองจะพยายามขับเคลื่อนในเรื่องของความรักระหว่างผู้ชายกับผู้ชาย แต่รายละเอียดเล็ก ๆ บางส่วนก็ยังคงยึดตามบรรทัดฐาน (norm) ของ heteronormativity เช่น ภาพลักษณ์ของคุณชายที่ดูอ่อนหวาน การชอบเล่นเป็นนางเอกงิ้ว หรือการชอบของสวยงาม เช่น ปิ่นปักผม 


ฉะนั้น ชื่อเรียกของเพศจึงมีความสำคัญในฐานะสัญลักษณ์ที่จะช่วยแสดงอัตลักษณ์ (identity) ของคนแต่ละกลุ่มได้ เพราะหากเราเลือกที่จะปิดกั้นคำคำนั้นซึ่งจะบ่งบอกถึงความเป็นตัวเราเอาไว้ สังคมก็พร้อมที่จะละเลยและเหมารวม โดยเฉพาะคนบางกลุ่มที่มักตัดสินและคาดเดาอัตลักษณ์ของผู้อื่นจากลักษณะนิสัยหรือท่าทาง ว่าใคร ‘ออกสาว’ หรือใคร ‘โพผัว’ มากกว่ากัน ดังนั้น การที่เทียนอยากจะลบคำว่าต้วนซิ่วออกไปจากสังคม อาจเป็นการลดทอนการมีอยู่ของชุมชน LGBTQIA+ ที่เขาเองก็เป็นส่วนหนึ่งของชุมชนนี้


ในบริบทสังคมไทยปัจจุบัน เรามักจะได้ยินคำพูดที่กล่าวว่า “จะเพศไหนก็ไม่สำคัญหรอก แค่รักกันก็พอแล้ว” หรือคำที่บอกว่า “ความรักไม่มีเพศ” ถ้อยคำเหล่านั้นอาจฟังดูสวยหรูก็จริง แต่เมื่อพูดจบประโยค การขับเคลื่อนหรือการตระหนักรู้ใด ๆ ก็จบลงไปด้วย เพราะคำพูดเหล่านั้นไม่ได้สะท้อนไปถึงปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในสังคมเลย เมื่อแสงส่องไปไม่ถึง ปัญหาก็จะไม่ได้รับการแก้ไข กลุ่มคนที่ถูกผลักให้เป็นชนชายขอบก็จะยังคงอยู่ตรงที่เดิม ดังนั้น สิ่งที่เราควรทำคือสนับสนุนกลุ่มคนที่ถูกกดทับอยู่ใต้บรรทัดฐานของสังคม และเรียกชื่อเพศของพวกเขาอย่างเปิดเผย เพื่อเป็นการสนับสนุนอัตลักษณ์ให้กับพวกเขาเหล่านั้นว่าพวกเขามีตัวตนจริง ๆ และความรักที่เกิดขึ้นก็มาจากหัวใจที่บริสุทธิ์ดังเช่นคนทั่วไป ไม่ใช่เพราะความผิดปกติ ไม่ใช่เพราะโรค และไม่ใช่เพราะบาปกรรมแต่อย่างใด


ความรักนั้นมีเพศ และทุกเพศมีศักดิ์และสิทธิ์อย่างเต็มที่ที่จะแสดงออกถึงตัวตนและอัตลักษณ์ทางเพศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคนที่มีความรักให้กับคนเพศเดียวกัน ไม่มีใครสมควรถูกเลือกปฏิบัติจากมาตรฐานของสังคมที่ไม่ได้มาตรฐานเลยแม้แต่น้อย ขอผู้มีความหลากหลายทางเพศทุกท่านจงดำรงไว้ซึ่งตัวตนอย่างชัดเจน เพื่อวันหนึ่งอัตลักษณ์ทางเพศของพวกเราจะปรากฏอย่างเด่นชัดและไม่เลือนรางจางหายอีกต่อไป

 

เช่นกันกับเทียน เราเองก็มีความฝันว่าสักวันหนึ่ง

คำว่า ‘รัก’ จะยืนหยัดเคียงข้างคำว่า ‘เพศ’ ได้

โดยที่รักยังคงเป็นรัก และทุกเพศยังคงคุณค่าไว้ซึ่งอัตลักษณ์อย่างเท่าเทียม



อ้างอิง


เจ้าแพนด้าขอบตาดำ, รีวิวละคร + เรื่องย่อ "คุณชาย" เมื่อความรักต้องห้าม ถูกปิดกั้นในสังคมจีนภายใต้คำว่า ต้วนซิ่ว (断袖) ละครดราม่าสุดเข้มข้นจากช่อง ONE31

 [ออนไลน์], 14 ตุลาคม 2565. แหล่งที่มา https://entertainment.trueid.net/detail/Jp74wBVQklK6


โบราณนานมา, “ต้วนซิ่ว (断袖)” แปลว่า “ตัดแขนเสื้อ” เป็นสำนวนที่ใช้เรียก “ชายรักชาย” [ออนไลน์], 3 ตุลาคม 2565. แหล่งที่มา https://web.facebook.com/boraan.th/photos/a.1721168658137287/3222077934713011/?type=3&_rdc=1&_rdr


Kanruethai Thurakitseree, “ใครเป็นผัว ใครเป็นเมีย?” ว่าด้วย Gender role ที่ยังฝังอยู่ในคู่รักเกย์และเลสเบี้ยน [ออนไลน์], 22 มิถุนายน 2563. แหล่งที่มา https://thematter.co/social/gender-role-in-homosexual/115406


เนื้อหา : ปาณิสรา โพธิ์ศรีนาค

พิสูจน์อักษร : วรินทร สายอาริน และ อจลญา เนตรทัศน์

ภาพ : อิงฟ้า หมวดทอง








ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

มองโลกและชีวิตผ่านเลนส์วรรณกรรม

The Little Prince : เจ้าชายน้อย ดอกกุหลาบ และสุนัขจิ้งจอก บอกอะไรเราเรื่องความสัมพันธ์

เมื่อความรู้สึกเบื่อคือฮีโรในคราบของตัวร้าย