Languishing : ไม่ได้หมดแพสชัน แค่กำลังชาร์จแบต!

.

จากนักศึกษาจบใหม่ไฟแรงที่มีแพสชันแรงกล้าในการทำงาน แต่เมื่อตบเท้าเข้าสู่โลกแห่งการทำงานที่แท้จริง งานที่คิดว่าจะเติมเต็มตัวตนของตนเองได้กลับเริ่มกลายเป็นแค่ภาระหน้าที่ที่ต้องทำไปวัน ๆ ความรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้หยิบจับลองทำสิ่งใหม่ ๆ ก็อันตรธานหายไป ยิ่งด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ลากยาวมาตั้งแต่ปี 2019 จนส่งผลให้หลาย ๆ บริษัทเน้นการทำงานแบบ Work From Home (WFH) ยิ่งทำให้ใครหลายคนตกอยู่ในสภาวะของความรู้สึกที่ว่า

.

‘Not happy, not sad, just empty.’

ไม่ได้มีความสุข ไม่ได้ทุกข์ใจ แค่รู้สึกว่างเปล่า

.

ไม่ได้หมดไฟในการทำงาน เพราะยังคงมีพลังที่จะทำสิ่งต่าง ๆ และประคองสติให้สามารถทำงานที่ได้รับมอบหมายต่อไปได้ ไม่ได้รู้สึกเคร่งเครียด สิ้นหวัง หรือจมดิ่งอยู่กับความเศร้า แค่ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบกายเป็นพิเศษ ความรู้สึกเนือย ๆ ว่างเปล่า และนิ่งเฉยกับโลกที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาเช่นนี้ คืออาการที่ถูกนิยามว่าเป็นสภาวะ ‘Languishing’

.

สภาวะ Languishing นิยามขึ้นครั้งแรกผ่านงานวิจัยของ Corey Keyes นักสังคมวิทยาและนักจิตวิทยาชาวอเมริกัน เมื่อปี 2002 โดยคำว่า Languishing ถูกให้ความหมายว่าเป็นสภาวะของความรู้สึกอิดโรย ความรู้สึกไม่มั่นคง หรือขาดความสนใจในชีวิตและสิ่งต่าง ๆ ที่ครั้งหนึ่งเคยทำให้เรารู้สึกมีความสุขหรือตื่นเต้นได้ ซึ่งแตกต่างจากโรคตื่นตระหนกและภาวะซึมเศร้า เพราะความรู้สึกอิดโรยถือเป็นอารมณ์ความรู้สึกรูปแบบหนึ่ง ไม่ใช่ความเจ็บป่วยทางจิต

จากงานวิจัยระบุว่าสภาวะ Languishing เกิดกับผู้คนมากขึ้นในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่กินเวลายาวนานหลายปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราต้องพบเจอสถานการณ์ที่ไม่มั่นคงและเปลี่ยนแปลงไปได้ตลอดเวลา เมื่อเดือนก่อนก็มีรายงานไวรัสสายพันธุ์ใหม่ระบาด พอสถานการณ์ดูเหมือนจะดีขึ้น วันต่อมาก็ต้องเจอข่าวคลัสเตอร์โควิดระบาดใหม่อีกระลอก จนถึงจุดที่ผู้คนต่างเหนื่อยที่จะคาดหวัง และรู้สึกไม่อยากสนใจการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น สุดท้ายจึงเกิดเป็นสภาวะ Languishing กับตัวเองไปโดยไม่รู้ตัว

.

หนึ่งในผู้ที่มีสภาวะ Languishing ให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์เกี่ยวกับสุขภาพ Verywell Mind ว่า “I didn’t feel like talking to anyone. I didn’t feel like I was myself. I’m a very bubbly, energetic, happy person usually, and I felt just neutral.” Grace (“ฉันไม่รู้สึกอยากคุยกับใคร ฉันรู้สึกเหมือนไม่เป็นตัวของตัวเอง ปกติแล้วฉันเป็นคนร่าเริง กระฉับกระเฉง และมีความสุข ส่วนตอนนี้ฉันก็แค่รู้สึกเฉย ๆ”) 

.

แล้ว Languishing แตกต่างจาก Burnout Syndrome อย่างไร?

.

บ่อยครั้งผู้คนมักจะสับสนและเข้าใจว่า สภาวะ Languishing ก็คืออาการของ Burnout Syndrome เพราะทุกวันนี้เราต่างให้ความสำคัญกับความกระตือรือร้นในการทำงานมากเกินไป รวมถึงค่านิยมของสังคมที่หล่อหลอมให้เราต้องทุ่มเททั้งพลังกายและพลังใจให้กับการทำงาน หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่า ‘ทำงานแบบถวายชีวิตให้บริษัท’ จนทำให้มองว่า อาการอ่อนล้า เบื่อหน่าย และอิดโรยในการทำงานแบบสภาวะ Languishing คือสิ่งที่เรียกว่า ‘อาการหมดแพสชัน’ 

.

‘นี่เราใช้ชีวิตยากเกินไปหรือเปล่านะ’ หนังสือที่เขียนตีแผ่ปัญหาของวัฒนธรรมการทำงาน รวมถึงค่านิยมของสังคมที่ให้ความสำคัญกับความขยันและเชิดชูการทำงานหนักอย่างไม่หยุดพัก กล่าวถึง Burnout Syndrome ไว้ว่า “ภาวะหมดไฟในการทำงาน หรือ Burnout Syndrome สาเหตุเกิดจากหมกมุ่นในการงานมากเกิน พอไม่ยอมพักผ่อนให้เพียงพอ พลังใจเลยถูกผลาญเกลี้ยง เกิดเป็นอาการ เช่น หมดแรง หดหู่ รังเกียจตัวเอง” 

.

ในขณะที่สภาวะ Languishing ไม่ได้เกิดจากการหักโหมงานหนักเกินควร แต่เป็นอาการอิดโรยทางจิตใจอันเป็นผลมาจากความเอาแน่เอานอนไม่ได้ของวิกฤตการณ์โรคโควิด-19 รวมถึงความตึงเครียดจากสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต

.

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าอาการของสภาวะ Languishing จะยังไม่ถึงขั้นหมดไฟในการทำงานแบบ Burnout Syndrome ทั้งยังมีอาการและสาเหตุที่แตกต่างกัน แต่เพราะภาระงานมากมายที่ต้องแบกรับ ทำให้พวกเขาเหล่านี้ต้องยอมก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป จนความอิดโรยและความเหนื่อยล้าพากันกัดกินจิตใจไปเรื่อย ๆ และหากปล่อยไว้โดยไม่ให้ความสำคัญ ไม่รีบไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาทางแก้ไข เพราะมองว่าอาการดังกล่าวเป็นเรื่องปกติธรรมดาของมนุษย์วัยทำงาน สภาวะดังกล่าวนี้ก็อาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าได้

.

อิดโรยอ่อนล้า ≠ หมดแพสชัน

.

ผู้ที่มีสภาวะ Languishing ไม่ใช่ผู้ที่หมดแพสชันในการทำงานโดยสิ้นเชิง หากแต่แพสชันที่มีเคยมีอย่างเอ่อล้นนั้นกำลังซุกซ่อนอยู่ภายในจิตใจที่กำลังถูกกดทับด้วยความรู้สึกอ่อนล้าและอิดโรย ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ต่อให้จะไม่มีแพสชันแรงกล้าในการทำงานแบบที่เคยเป็นก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องรู้สึกกังวลมากขนาดนั้น เพราะสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตการทำงานก็คือสุขภาพกายและสุขภาพใจที่แข็งแรงของตัวเอง แค่ตอนนี้ที่ต้องเผชิญหน้ากับอาการ Languishing และความรู้สึกไม่ปลอดภัยจากสถานการณ์ความวุ่นวายรอบตัวก็เหนื่อยล้าเต็มทีแล้ว จึงไม่จำเป็นเลยที่จะต้องฝืนพยายามมีแพสชันกับทุก ๆ อย่าง การถนอมร่างกายและจิตใจของตัวเองต่างหากที่สำคัญที่สุด

. 

การเข้าใจถึงปัญหาของสภาวะ Languishing และรู้เท่าทันอารมณ์ความรู้สึกตัวเอง รวมถึงไม่กดดันหรือบีบบังคับร่างกายและจิตใจของตัวเองมากจนเกินไป คือแนวทางสำคัญที่จะช่วยให้เรารับมือกับสภาวะอิดโรยทางจิตใจนี้ได้ เพราะไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าสุขภาพของตัวเอง ดังนั้น ขอให้ลืมเรื่องมีหรือไม่มีแพสชันกันไปก่อน แน่นอนว่าการมีแรงใจในการทำงานย่อมเป็นสิ่งที่ดี แต่หากมีน้อยหรือไม่มีเลยก็ไม่ใช่เรื่องผิดบาปอะไรเสียหน่อย ลำพังแค่ต้องดิ้นรนต่อสู้ให้ผ่านพ้นไปแต่ละวันก็อ่อนล้าไปทั้งร่างกายและจิตใจแล้ว

.

ถ้าวันนี้รู้สึกเหนื่อยล้าก็พักเสียบ้าง ทั้งแพสชันและไฟในการทำงานต่างก็มีวันร่อยหรอไปเป็นธรรมดา ไม่ต้องฝืนดึงดันใช้มันกับงานจนชีวิตเสียศูนย์ไปหมด

.

เพราะมนุษย์เราเองก็ต้องมีเวลาพักชาร์จแบตเหมือนกันนะ

.

รายการอ้างอิง

Adam Grant. (2021). There’s a Name for the Blah You’re Feeling: It’s Called Languishing. Retrieved from https://www.nytimes.com/2021/04/19/well/mind/covid-mental-health-languishing.html 

.

Corey Keyes. (2002). The mental health continuum: from languishing to flourishing in life. Retrieved from https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/12096700/ 

.

Sarah Fielding. (2021). Languishing Is the Mood of 2021. How to Identify It and How to Cope. Retrieved from https://www.verywellmind.com/languishing-is-the-mood-of-2021-5180999#citation-1 

.

เนื้อหา : เมิ่งเจี๋ย

พิสูจน์อักษร : พิมพ์พิชชา เต็งต้นวงศ์ และ อชิรญาณ์ ศรีรัตนตาปี

ภาพ : อภิชญา ยอดนิล







ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

มองโลกและชีวิตผ่านเลนส์วรรณกรรม

The Little Prince : เจ้าชายน้อย ดอกกุหลาบ และสุนัขจิ้งจอก บอกอะไรเราเรื่องความสัมพันธ์

เมื่อความรู้สึกเบื่อคือฮีโรในคราบของตัวร้าย